Chatchapolbook.com

13 อาณานิคม ประวัติศาสตร์เริ่มต้นของอเมริกา ตอนที่ 1

13 อาณานิคม ประวัติศาสตร์เริ่มต้นของอเมริกา (ตอนที่ 1)


เนื้อหาจะต่อเนื่องจากหลายเรื่องที่เราคุยกันไปก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น การค้นพบทวีปอเมริกาของโคลัมบัส Columbian exchange หรือประวัติศาสตร์การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก


1.

ปัจจุบันเมื่อพูดถึงประเทศอเมริกา เราจะนึกภาพว่าเป็นประเทศของคนขาวเป็นส่วนใหญ่ และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

แต่เราก็รู้ว่าชนพื้นเมืองเดิมไม่ใช่คนผิวขาว ชาวยุโรป และชาวยุโรปที่เดินทางมาค้นพบทวีปอเมริกาก็ไม่ใช่ชาวอังกฤษแต่เป็น คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งเป็นชาวอินตาเลียน ที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์สเปน

หลังจากนั้น ชาวสเปนจำนวนมากก็เดินทางมาแสวงโชค บ้างก็มาตั้งรกรากในทวีปอเมริกา จากนั้นชาวยุโรปอื่นๆ ก็ตามมาหาโอกาสและความร่ำรวยมากมายไม่ว่าจะเป็น โปรตุเกส ดัตช์ ฝรั่งเศส อังกฤษ

คำถามคือว่า ทำไมประเทศอเมริกาในปัจจุบันจึงดูมีความเป็นอังกฤษมากกว่าชาติยุโรปอื่นๆ อย่างฝรั่งเศส หรือดัชต์ ? ในซีรีส์ของบทความหลายตอนจบนี้ ผมจะชวนเดินทางย้อนเวลากลับไปดูประวัติศาสตร์ของประเทศ อเมริกาในช่วงแรกๆ ตั้งแต่ยังเป็นแค่ 13 อาณานิคมกันครับ

2.

ผมอยากจะขอเริ่มต้นเล่าเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ที่ผมเคยทำคอนเทนต์เล่าไปแล้ว เหมือนการนำเรื่องทั้งหมดที่เราเคยคุยกันมาก่อน มาต่อเป็นจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ให้เห็น

ว่าสุดท้ายประวัติศาสตร์ที่เราคุยๆ กันมา มันมาเชื่อมต่อกับประวัติศาสตร์การกำเนิดของอเมริกาได้อย่างไร นอกจากนี้เผื่อใครยังไม่ได้ดูหรือฟัง หรือว่าลืมไปแล้วจะได้พอนึกออก

ในช่วงแรกที่ชาวยุโรปเดินทางมาอเมริกานั้น ชาวยุโรปส่วนใหญ่ที่เดินทางมาไม่ได้มีแผนจะมายึดครองที่ดินอย่างจริงจังนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีความสามารถจะทำได้

นึกภาพดูนะครับ ในยุคนั้นเรือของยุโรปที่เดินทางข้ามมหาสมุทรมาได้แต่ละลำจะมีขนาดที่เล็กมาก (เมื่อเทียบกับมาตรฐานของเรา) คือบรรทุกคนมาในเรือได้แค่หลักร้อยต้นๆ เท่านั้น แม้ว่าจะเดินทางกันมาเป็นคาราวาน 3-4 ลำ ก็นำคนมาได้แค่ไม่กี่ร้อย ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาดของพื้นที่ทวีปอเมริกาแล้ว คนจำนวนนี้มีขนาดที่น้อยเกินกว่าจะมายึดครองพื้นที่ได้อย่างจริงจัง

ดังนั้นการเดินทางมาจึงเน้นที่จะมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นหลัก อาจจะมีการส่งคนมาปักหลักบ้าง แต่ก็เพื่อให้การค้าขายเป็นไปได้สะดวกขึ้น คนที่ถูกส่งมาส่วนใหญ่ก็คาดหวังว่าจะอยู่ไม่กี่ปีแล้วก็จะกลับไปยังประเทศตนเอง ไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่อย่างถาวร

แต่ชาวยุโรปจำนวนไม่มากนี้ก็สร้างความวิบัติให้กับชนพื้นเมืองและวัฒนธรรมของพวกเขาเป็นอย่างมาก …

3.

ในวันที่ชาวยุโรปเดินทางมาถึงทวีปอเมริกานั้น ทวีปแห่งนี้มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่มานานอย่างน้อยๆ ก็ 40,000 ปีแล้ว เวลานั้นประมาณการกันว่าเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือก็มีประชากรมากถึง 15 ล้านคน มีวัฒนธรรมและภาษาพูดที่ต่างกันถึง 300 ภาษา ทวีปอเมริกากลางมีอารยธรรมที่เจริญและยิ่งใหญ่อย่างแอซเท็กและอินคา แต่ทั้งหมดนี้จะล่มสลายลงในเวลาสั้นๆ

การมาของชาวยุโรป พวกเขาไม่ได้มาแต่มนุษย์ แต่ยังพาเชื้อโรคที่ร่างกายของชนพื้นเมืองไม่รู้จักมาระบาดด้วย ดังนั้นหลังจากที่ชาวยุโรปมาได้ไม่นานก็เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในทวีปอเมริกาหลายครั้งด้วยกัน จนชนพื้นเมืองทยอยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก

ตัวเลขอาจจะสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด (รวมกันทั้งหมดประมาณ 55 ล้านคน) ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงขนาดนี้ จึงทำให้อารยธรรมของชนพื้นเมืองจำนวนมากล่มสลายไป เมืองที่เคยยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นเมืองร้างที่ถูกกลืนหายไปจากประวัติศาสตร์

ในช่วงแรกชาวยุโรปต้องการจะมาขนสมบัติ แร่มีค่าอย่างทองคำและเงินกลับประเทศ แต่ต่อมาก็ค้นพบว่า ดินแดนหลายแห่งในทวีปอเมริกาสามารถที่จะเพาะปลูกพืชที่สร้างรายได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็น อ้อยที่ไปทำน้ำตาล ยาสูบที่กลายเป็นสินค้ายอดนิยมในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ จึงพยายามที่จะครอบครองดินแดนเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านี้

แต่จะทำการเกษตรได้ก็ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะการปลูกอ้อยเพื่อมาทำเป็นน้ำตาล คำถามคือ จะหาแรงงานมาจากไหน ?

แรกสุดชาวผิวขาวต้องการจะใช้แรงงานจากชนพื้นเมือง แต่เนื่องจากชนพื้นเมืองตายไปจนเกือบหมดแล้ว จึงไปนำคนขาวที่เป็นชนชั้นล่างของสังคมมาใช้แรงงานในรูปแบบที่เรียกว่า indentured servant คือ เป็นคนขาวที่ไม่มีโอกาสในประเทศตัวเอง จึงยอมทำสัญญาเพื่อให้ได้โอกาสเดินทางมาตายเอาดาบหน้าในโลกใหม่ ส่วนใหญ่จะทำงานหนักแลกกับค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พักอาศัย เมื่อหมดสัญญาก็จะเป็นอิสระ

แต่การนำคนขาวมาก็มีปัญหาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีไปบ้าง หรือหลายคนสามารถที่จะไปครอบครองที่ดินของตัวเอง แล้วทำการเกษตรแข่งกับผู้ว่าจ้างเก่า และที่สำคัญคือ เมื่อความต้องการแรงงานสูงขึ้นค่าแรงก็สูงขึ้น ทำให้ชาวยุโรปเริ่มมองหาแรงงานใหม่

นั่นก็คือ การไปนำคนดำจากทวีปแอฟริกามาเป็นแรงงานทาส จนนำไปสู่การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic slave trade) คนผิวดำสิบกว่าล้านคนถูกจับเดินทางมาเป็นทาสบนทวีปอเมริกา อย่างที่เราเคยคุยกันไป

การค้าทาส ขายน้ำตาล ขายยาสูบ ไร่ฝ้าย ไร่กาแฟ การค้าขนสัตว์ในทวีปอเมริกาเหนือและเหล้ารัม สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวยุโรปที่มาตั้งรกรากที่ทวีปอเมริการ่ำรวยกันมากขึ้น

ชาวยุโรปจึงสนใจอยากจะเดินทางมาตั้งรกรากในทวีปอเมริกามากขึ้น บริษัทหรือเจ้าของเงินทุนก็อยากจะส่งคนมาประจำในทวีปอเมริกาเพื่อดูแลการผลิตมากขึ้น จึงมีการส่งคนผิวขาวมาประจำอยู่ในทวีปอเมริกามากขึ้น

ด้วยความที่ชาวยุโรปเหล่านี้ต้องเดินทางมาไกล มาตั้งชุมชนใหม่ในดินแดนหรือสิ่งแวดล้อมที่ต่างไปจากบ้านเกิดของตัวเองในยุโรป จึงมีการสร้างสังคมแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมแบบใหม่

สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การคิดแบบใหม่ วิถีชีวิตแบบใหม่ และวัฒนธรรมแบบใหม่ ซึ่งค่อยๆ ต่างไปจากประเทศแม่ของตัวเองในยุโรป ยิ่งในเวลาต่อมาเด็กที่เกิดบนทวีปใหม่ก็ยิ่งมีความผูกพันกับทวีปยุโรปน้อยลง จนสุดท้ายจะนำไปสู่ความเป็นอเมริกันที่แตกต่างไปจากยุโรปอย่างเห็นได้ชัด

และทั้งหมดนี้คือ ภาพใหญ่ให้เห็นการเข้ามาของชาวยุโรปในดินแดนอเมริกาในตอนหน้า เราจะไปดูในรายละเอียดของแต่ละประเทศมากขึ้น ว่าการมาตั้งรกรากบนโลกใหม่นี้ มีผลต่อชาวสเปน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษอย่างไรบ้าง